30 มี.ค.55 ที่ห้อง Convention Hall สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ร่วมกับ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย ศูนย์ศึกษากฎหมายและนโยบายสื่อมวลชน ชมรมผู้สื่อข่าวออนไลน์ และสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ร่วมกันจัดประชุมเครือข่ายนักวิชาการและวิชาชีพสื่อมวลชน ประจำปี 2555 เรื่อง “ยุทธศาสตร์เพื่ออนาคตวารสารศาสตร์” ครั้งที่ 1
นายสุทธิชัย หยุ่น บรรณาธิการอำนวยการเครือเนชั่น กรุ๊ป กล่าวระหว่างบรรยายพิเศษ “ทิศทางสื่อ ทิศทางวารสารศาสตร์” ว่า จากข้อมูลมีการวิเคราะห์ว่าหนังสือพิมพ์ในประเทศไทยจะอยู่ได้จนถึงปี ค.ศ.2037 แต่เด็กรุ่นใหม่จะรับรู้ข่าวสารจากสื่อออนไลน์และดิจิทัล จากข้อมูลของ Nietsen Media Index 2010-3 พบว่าปริมาณการอ่านหนังสือพิมพ์ออนไลน์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยหนังสือพิมพ์กระแสหลักก็ยังคงมีปริมาณการอ่านจากกระดาษมากพอสมควร
นายสุทธิชัย กล่าวว่า ปัจจุบันผู้บริโภคข่าวไม่สามารถแยกตัวเองได้แล้วว่าอ่านข่าวอย่างเดียวหรือไม่ ซึ่งเป็นช่วงของ Tableteers
“จากการสอบถามเด็กมหาวิทยาลัยปี1 มีความเห็นว่าอยากทำช่องรายการของตัวเอง โดยได้จัดทำขึ้นยูทูบ ซึ่งนำได้สู่การเกิดPersonal TV, Personal Media ซึ่งการเรียนในยุคปัจจุบันเด็กต้องเลือกสิ่งที่เขาสนใจ และเก่งไปเลย”
นายสุทธิชัย กล่าวว่า มีไอโฟนตัวเดียวก็สามารถทำข่าวได้แล้ว ซึ่งเป็นอนาคตของการทำข่าว ที่สำคัญคือเราจะสอนคนรุ่นใหม่ให้ทำได้อย่างไร และในโลกดิจิทัลมหาวิทยาลัยต้องสอนว่าจบไปแล้วต้องการให้เขาเป็นอย่างไร ถ้าต้องการให้ออกไปเป็นนักดิจิทัลมีเดีย มหาวิทยาลัยต้องสอนให้เขาหาข้อมูลจากวิดีโอคลิป วิทยุ ข่าว และเขียนหนังสือได้ ต้องสอนให้เขาเป็นนักวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารจากทุกแพลตฟอร์ม และวันนี้มีตำแหน่งใหม่คือ Curator ซึ่งมีหน้าที่คล้ายกับบรรณาธิการข่าวของหนังสือพิมพ์
หรือจะสร้างให้เป็น Julian Assange แห่ง Wikileaks ซึ่งในโลกดิจิทัลมีช่องทางการค้นหาข้อมูลที่หลากหลาย โดยต้องสอนให้ค้นหาข้อมูลจากข่าวที่แหล่งข่าวพยายามปกปิด ต้องล้วงข้อมูลที่ทางการบอกว่าลับ แต่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน
“ที่มีการบอกว่าในโซเชี่ยลมีเดียมีแต่ข่าวลือ ขอถามว่าในทุกสื่อ เช่น ทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ ก็มีข่าวลือ สำหรับผมโซเชี่ยลมีเดียคือการปลดแอกนักข่าวจากการทำงานแบบเดิมๆ ถ้าใช้อย่างมีประโยชน์ก็จะมีค่ามหาศาล”
นายสุทธิชัย กล่าวต่อว่า หนังสือพิมพ์และทีวีที่ยังผูกติดตัวเองกับโฆษณา ขอบอกเลยว่ามีเวลาอีก 5 ปีตาย เพราะผู้เสพข่าวไม่จำเป็นต้องตื่นเช้ามาอ่านหนังสือพิมพ์หรือมาดูทีวี แต่ทีวีและหนังสือพิมพ์ที่ยังอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะยังมีคนที่ยังผูกติดที่จะต้องดูทีวีทุกเช้า ทั้งที่ไม่มีอะไรใหม่ๆ ซึ่งเป็นรุ่นคุณปู่ คุณย่า แต่เด็กอายุ 15 ปีขึ้นไปจะเป็นผู้ที่มีรูปแบบการเสพข่าวที่เปลี่ยนไป และการเปลี่ยนแปลงไม่ได้มีเวลาให้ปรับตัว 3 ปี หรือ 5 ปี แต่มาแบบชั่วข้ามคืน
Entrepreneur Journalist คือ การที่นักข่าวสร้างคอนเท้นท์ และเปิดช่องการนำเสนอข่าวด้วยตนเอง ไม่จำเป็นต้องพึ่งนายทุน และเป็นโอกาสที่เปิดให้กับทุกคน
นายสุทธิชัย กล่าวว่า แล้วจะสอนอะไรให้กับเด็ก 1. ต้องสอนเรื่องความมุ่งมั่นทุ่มเท เพื่อความยุติธรรมและความเป็นธรรมของสังคม ไม่ได้สอนเพียงเพื่อให้เขียนข่าวแล้วทำให้ตัวเองโด่งดัง แต่ต้องสอนเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้สังคม ซึ่งเป็นพื้นฐานของการสอนในเรื่องค่านิยมของการเป็นนักต่อสู้ 2. สอนให้คิดให้เป็น ไม่เอาอารมณ์เอาผลประโยชน์มาตัดสินว่าสิ่งนี้ดีหรือเลว 3. เขียนหนังสือให้เป็น ยอมรับว่าโซเชี่ยลมีเดียทำให้ภาษาของคนเขียนแย่ลง ซึ่งเราต้องสอนให้เขาเขียนภาษาให้ดี 4.จริยธรรม 5.ทักษะการใช้ New Media ทุกประเภท 6.Short-Form, Long-Form Journalism การเขียนยาวในBlog เขียนสั้นในทวิตเตอร์ 7.Social Media for Investigative Reporting ใช้อย่างฉลาด เช่น ใช้เป็นช่องทางในการสอบถามข้อมูล 8.สร้างหนังโดยใช้ Smartphone
ก่อนลงจากเวที “สุทธิชัย หยุ่น” ฝากคำขวัญทิ้งท้ายไว้สำหรับนักสื่อสารมวลชนว่า “ไม่ปรับ ก็พับฐาน”

