รายงานพิเศษ

“3จี กสท-ทรู” เรื่องร้อน

คาราคาซังกับความชัดเจนในการทำสัญญาธุรกิจโทรศัพท์มือถือรูปแบบใหม่ หรือ 3จีระหว่างบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) กับ กลุ่มบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มาตั้งแต่วันที่ 27 ม.ค.2554 ซึ่งทั้งสองบริษัทจรดปากกาเซ็นสัญญากัน

และทรูให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3จีในชื่อ “ทรูมูฟ เอช” ได้มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาชี้ชัดว่าการเซ็นสัญญาดังกล่าวเข้าข่ายมีความผิด อาทิ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาลของวุฒิสภา ที่มี น.ส.รสนา โตสิตระกูล เป็นประธานขณะที่ศาลปกครอง ที่ทางบมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น ได้ยื่นฟ้องไปแล้ว สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ส่วนสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) อยู่ระหว่างการพิจารณาโดยระบุว่าจะพิจารณาให้แล้วเสร็จก่อนการเปิดประมูล 3จี คลื่นความถี่ 2.1 กิกะเฮิร์ซในเดือนก.ย.นี้

ส่วนผลการตรวจสอบการทำสัญญา 3จีระหว่าง กสท กับ กลุ่มบริษัท ทรู ของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที)ซึ่งใช้เวลาตรวจสอบ 120 วัน โดยมีพ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัยอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งน.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ได้แถลงผลสอบเมื่อวันที่ 26 มี.ค.55 โดยพบพิรุธ 5 ประเด็น ได้แก่

ประเด็นที่ 1 ฝ่ายการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องในการกำหนดนโยบายเพื่อเอื้อประโยชน์ให้เอกชน

ประเด็นที่ 2 การยกเลิกสัญญาการให้บริการซีดีเอ็มเอใน 25 จังหวัดเดิม เพื่อเข้าสู่การให้บริการ 3จี แบบเอชเอสพีเอไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี(ครม.) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช.

ประเด็นที่ 3 การเดินเอกสารต่าง ๆ ที่จะต้องขออนุมัติจากกระทรวงไอซีทีในช่วงเวลานั้นมีการออกหนังสือล่วงหน้า และการยื่นเอกสารไม่ตรงตามหน่วยงานที่รับผิดชอบ

ประเด็นที่ 4 แม้ครม.จะเห็นชอบให้ดำเนินการโครงการใหม่ แต่ให้ กสท ขอความเห็นจาก สศช. และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา แต่ปรากฏว่าการดำเนินงานของ กสท ไม่ผ่านความเห็นชอบจากทั้ง 2 หน่วยงาน

ประเด็นที่ 5 การดำเนินงานดังกล่าวหลีกเลี่ยง พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมหรือดำเนินงานในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 หรือ พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ และประกาศ กสทช.ว่าด้วยการใช้และเช่าต่อโครงข่าย

หลังแถลงผลสอบสัญญา3จีกสท-ทรูแล้ว ไอซีทีส่งเรื่องให้ป.ป.ช.ดำเนินงานต่อ ซึ่งคณะอนุกรรมการไต่สวนสอบข้อเท็จจริงกรณีการทำสัญญา 3จี กสท-ทรูของป.ป.ช.มีการประชุมหลายครั้งแล้วแต่ยังไม่ได้ข้อสรุป ล่าสุดจะประชุมอีกครั้งในวัน ที่ 8 พ.ค. นี้

กระทั่งวานนี้ (3 พ.ค.) รมว.ไอซีทีแถลงข่าวด่วนเวลา 16.00 น.  ว่า ได้รับเอกสารสัญญาซื้อขายระหว่างกสท และ กลุ่ม บริษัท ฮัทชิสัน เทเลคอม  ประเทศฮ่องกง  ซึ่งทำขึ้นเพื่อให้กสท ซื้อกิจการของบริษัท ฮัทชิสัน ซีเอที ไวร์เลส มัลติมีเดีย หรือ ฮัทช์  มูลค่า 7,000 ล้านบาท แต่สัญญาดังกล่าวกลับถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง โดยสั่งให้ฉีกสัญญาทิ้ง  เพื่อเปิดทางให้กลุ่ม บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น เข้าซื้อกิจการฮัทช์แทนในราคา 6,300  ล้านบาท

ทั้งนี้ สัญญาดังกล่าว คือ สัญญาซื้อขายกิจการระหว่าง บริษัท ฮัทชิสัน ซีเอที ไวร์เลส มัลติมีเดีย บริษัท บีเอฟเคที (ประเทศไทย) บริษัท ฮัทชิสัน เทเลคอมมิวนิเคชั่นส์  บริษัท ฮัทชิสัน มัลติมีเดีย เซอร์วิส ในฐานะผู้ขาย และ  บริษัท ฮัทชิสัน เทเลคอม  อินเตอร์เนชั่นแนล กับ บริษัท กสท  โทรคมนาคม  ในฐานะผู้ซื้อ ลงวันที่ 31 พ.ค.2553

 สัญญาฉบับนี้ได้รับการยืนยันจากอดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่กสท ว่าได้เซ็นจริง แต่ไม่ได้ถูกดำเนินการต่อในเรื่องการซื้อขาย  เพราะการเมืองสั่งให้ยกเลิก ซึ่งถือเป็นการกระทำที่เย้ยกฎหมายทั้งภายในและภายนอกประเทศ ไอซีทีได้รับสำเนาสัญญาดังกล่าวเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา แต่ขอสงวนนามผู้ที่ส่งมาให้ ซึ่งหลังจากนี้จะส่งเรื่องต่อไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เพื่อดำเนินการในเรื่องนี้ต่อไป” รมว.ไอซีที กล่าว

พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข  รองอธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า หลังจากได้รับสัญญาจากทางกระทรวงไอซีทีแล้ว ดีเอสไอจะสืบหาพยานทั้งหมดว่าสัญญาดังกล่าวเกิดขึ้นและมีอยู่จริง และสอบข้อเท็จจริงว่าเหตุใดเซ็นแล้วจึงถูกยกเลิก ซึ่งการยกเลิกครั้งนี้เป็นไปเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับฝ่ายใดบ้าง

ต้องหาสัญญาฉบับจริงก่อน แต่ได้รับการยืนยันจาก ตัวบุคคลว่ามีการเซ็นจริง ก็เชื่อถือได้  หลังจากนี้จะสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และจะได้ความคืบหน้าภายในเดือนนี้อย่างแน่นอน” พ.ต.อ.ประเวศน์กล่าว

ทั้งนี้ หากพบว่าสัญญาดังกล่าวผิดจริงจะเข้าข่ายผิดกฎหมายฟอกเงินระหว่างประเทศ  ซึ่งส่วนใหญ่การกระทำผิดที่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐมาเกี่ยวข้องจะต้องส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. เป็นผู้ส่งฟ้อง

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะมีประชาชนที่ใช้เครือข่าย 3จีของทรูมูฟเอชอยู่ราว 1 ล้านราย และที่เคยสัมภาษณ์กสทช.แจ้งว่าเรื่องนี้ที่สุดแล้วผู้บริโภคจะต้องไม่เดือดร้อน!

ใส่ความเห็น