วานนี้(6 มิ.ย.) นายชัยฤกษ์ ดิษฐอำนาจ ประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบสัญญา 3จีระหว่างบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) กับ กลุ่มบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ของกรรมการกิจการโทรคมนาคม(กทค.) เปิดเผยว่า การประชุมคณะอนุกรรมการฯวันนี้ได้สรุปประเด็นเกี่ยวกับสัญญา 3จี ระหว่างกสท-ทรูแล้วและพร้อมที่จะส่งเข้าเป็นวาระการประชุมของกทค. พิจารณาซึ่งถือเป็นที่สิ้นสุด
นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า คาดว่าจะสามารถนำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อกทค.ได้ภายในสัปดาห์นี้ และบอร์ดกทค.จะประชุมในสัปดาห์หน้า
ทั้งนี้ แหล่งข่าว กล่าวว่า คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาในประเด็นการปฏิบัติตามมาตรา 46 แห่ง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม 2553 ที่ห้ามโอนสิทธิการใช้ความถี่ให้คนอื่น ได้ข้อสรุปออกมาแล้วว่าสัญญาดังกล่าวส่อละเมิดและผิดกฎหมายตามมาตรา 46 จึงมีความจำเป็นที่ กสท จะต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ดังนี้
1. กสท ต้องสามารถนำคลื่นความถี่ย่าน 800 เมกะเฮิร์ตซ ไปใช้กับเครื่องและอุปกรณ์ของตนเองหรือของบริษัทอื่นได้ 2. กสท ต้องควบคุมดูแลและบริหารจัดการเน็ตเวิร์ค โอปอเรเตอร์ เซ็นเตอร์ อย่างสมบูรณ์ 3. ข้อมูลการใช้งาน ต้องอยู่ในความครอบครองของ กสท 4. อำนาจของคณะกรรมการควบคุมการปฏิบัติงานตามสัญญาต้องมีความชัดเจน โดยแสดงให้เห็นถึงอำนาจในการบริหารจัดการคลื่นความถี่ของ กสท 5. กระบวนการสร้างและจัดหาความจุของบริษัท บีเอฟเคที (ประเทศไทย) จะต้องแสดงให้เห็นว่า กสท เป็นผู้มีอำนาจแต่เพียงผู้เดียวในการตัดสินใจในเรื่องแผนคลื่นความถี่ แผนการขยายโครงข่าย และการปฏิบัติงานอย่างสมบูรณ์ 6. กสท ต้องเป็นผู้มีอำนาจแต่เพียงผู้เดียวในการเจรจาการให้บริการข้ามโครงข่ายภายในประเทศ และการเชื่อมต่อโครงข่ายโทรคมนาคมกับผู้ประกอบการรายอื่น และ 7. ความจุตามสัญญา ต้องแสดงให้เห็นว่า กสท เป็นผู้มีอำนาจในการควบคุมการใช้คลื่นความถี่อย่างสมบูรณ์ และควรให้เรื่องความจุตามสัญญาเป็นไปตามกลไกตลาด

