จากข้อมูลของ วิกิพีเดีย ระบุไว้ว่า มนุษย์รู้จักทองคำมาตั้งแต่ประมาณ 5,000 ปี ซึ่งเป็นความหมายแห่งความมั่งคั่ง โดยทองคำมีจุดหลอมเหลว 1064 องศาเซลเซียส และจุดเดือด 2970 องศาเซลเซียส เป็นโลหะที่มีค่าที่มีความเหนียว และความสามารถในการขึ้นรูป คือจะยืดขยาย เมื่อถูกตีหรือรีดในทุกทิศทาง โดยไม่เกิดการปริแตกได้สูงสุด ทองคำบริสุทธิ์หนัก 1 ออนซ์สามารถดึงเป็นเส้นลวดยาวได้ถึง 80 กิโลเมตร ถ้าตีเป็นแผ่นก็จะได้บางเกินกว่า 1/300,000 นิ้ว ส่วนความกว้างจะได้ถึง 9 ตารางเมตร
ทองคำบริสุทธิ์ไม่ว่องไวต่อการเกิดปฏิกิริยาเคมี จึงทนต่อการผุกร่อนและไม่เกิดสนิมกับอากาศ แต่ทำปฏิกิริยากับสารเคมีบางชนิด เช่น คลอรีน ฟลูออรีน น้ำประสานทอง
คุณสมบัติเหล่านี้ประกอบกับลักษณะภายนอกที่เป็นประกายจึงทำให้ทองคำเป็นที่หมายปองของมนุษย์มาเป็นเวลานับพันปี โดยนำมาตีมูลค่าสำหรับการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศและใช้เป็นวัตถุดิบที่สำคัญสำหรับวงการเครื่องประดับ
ส่วนการกำนิด “ทองคำ” จากเอกสารของกรมทรัพยากรธรณี ได้มีการแบ่งการเกิดของแร่ทองคำออกเป็น 2 แบบ ตามลักษณะที่พบในธรรมชาติได้ ดังนี้
แบบปฐมภูมิ คือ กระบวนการทางธรณีวิทยา มีการผสมทางธรรมชาติจากน้ำแร่ร้อน ผสมผสานกับสารละลายพวกซิลิก้า ทำให้เกิดการสะสมตัวของแร่ทองคำในหินต่างๆ เช่น หินอัคนี หินชั้น และหินแปร มีการพบการฝังตัวของแร่ทองคำในหิน หรือสายแร่ที่แทรกอยู่ในหิน ซึ่งส่วนใหญ่จะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
แบบทุติยภูมิหรือลานแร่ คือ การที่หินที่มีแร่ทองคำแบบปฐมภูมิได้มีการสึกกร่อน และถูกน้ำพัดพาไปสะสมตัวในที่แห่งใหม่ เช่น ตามเชิงเขา ลำห้วย หรือในตะกอนกรวดทรายในลำน้ำ
สำหรับแหล่งแร่ทองคำปฐมภูมิในไทย
-แหล่งโต๊ะโมะ จ.นราธิวาส
-แหล่งเขาสามสิบ จ.สระแก้ว
-แหล่งชาตรี (เขาโป่ง) จ.พิจิตร – จ.เพชรบูรณ์
-แหล่งดอยตุง (บ้านผาฮี้) จ.เชียงราย
-แหล่งเขาพนมพา จ.พิจิตร
แหล่งแร่ทองคำทุติยภูมิในไทย
-แหล่งบ้านป่าร่อน จ.ประจวบคีรีขันธ์
-แหล่งบ้านนาล้อม จ.ปราจีนบุรี
-แหล่งบ้านทุ่งฮั้ว จ.ลำปาง
-แหล่งในแม่น้ำโขง จ.เลย – จ.หนองคาย
-แหล่งบ้านผาช้างมูบ จ.พะเยา
การแปลงน้ำหนักทองคำความบริสุทธิ์ 96.5% (มาตรฐานในประเทศไทย)
ทองรูปพรรณ น้ำหนัก 1 บาท เท่ากับ 15.16 กรัม
ทองคำแท่ง น้ำหนัก 1 บาท เท่ากับ 15.244 กรัม


