“เพชรจันนิวส์” มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ “น.อ.สุรพล นะวะมวัฒน์” หรือ เสธต่าย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ในฐานะคณะกรรมการจัดทำทีโออาร์แท็บเล็ตป.1 และที่ปรึกษาคณะกรรมการตรวจรับแท็บเล็ตป.1 เปิดใจทุกเรื่องราวเกี่ยวกับแท็บเล็ตป.1
ย้อนที่มาโครงการแท็บเล็ตป.1
กระทรวงไอซีทีได้รับมอบหมายจากมติคณะรัฐมนตรี(ครม.)เมื่อวันที่ 22 ก.พ.55 โดยมีหนังสือแจ้งเป็นทางการเมื่อวันที่ 29 ก.พ.55 เพื่อให้ดำเนินการโครงการคอมพิวเตอร์มือถือสำหรับนักเรียนทุกคน (One Tablet PC Per Child) หรือแท็บเล็ตป.1 ซึ่งกระทรวงไอซีทีได้เซ็นสัญญาจัดซื้อแท็บเล็ตป.1กับ บริษัท เสิ่นเจิ้น สโคป ไซแอนทิฟิก ดีเวลลอปเมนต์ เมื่อวันที่ 10 พ.ค.55 รวมระยะเวลาในการดำเนินงาน 78 วัน และตามเงื่อนไขในสัญญา(ทีโออาร์) ระบุว่า สโคปต้องส่งแท็บเล็ตป.1 จำนวน 2,000 เครื่องมาให้คณะกรรมการตรวจสเปกและคณะกรรมการตรวจรับของกระทรวงไอซีทีตรวจสอบก่อน เมื่อคณะกรรมการตรวจสเปกและตรวจรับเห็นชอบ ปลัดกระทรวงไอซีทีจะลงนามเพื่อให้สโคปเดินหน้าผลิตแท็บเล็ตป.1 จำนวน 400,000 เครื่องตามแบบแท็บเล็ต 2,000 เครื่องที่ส่งมา
ขยายเวลาผลิตให้สโคปอีก 25 วัน
น.อ.สุรพล กล่าวว่า สโคปส่งแท็บเล็ตป.1 จำนวน 2,000 เครื่องให้กระทรวงไอซีทีตรวจรับและตรวจสเปกเมื่อวันที่ 22 พ.ค.55 ซึ่งตามทีโออาร์คณะกรรมการตรวจรับและตรวจสเปกต้องตรวจให้แล้วเสร็จภายใน 7 วัน แต่เนื่องจากติดปัญหาเรื่องเอกสารจึงใช้เวลาตรวจรับจนถึง 12 มิ.ย.55 รวมเวลาที่ใช้ตรวจรับ 22 วัน ดังนั้นกระทรวงไอซีทีต้องขยายระยะเวลาในการผลิตให้สโคปอีก 25 วัน โดยนับต่อจากวันที่ 9 ก.ค.55 ซึ่งเป็นวันที่ระบุในสัญญา ดังนั้นการผลิตและจัดส่งแท็บเล็ตป.1 จำนวน 400,000 เครื่องจะสิ้นสุดในวันที่ 3 ส.ค.55
“ปลัดกระทรวงไอซีทีเซ็นสัญญาเพื่อให้สโคปเดินหน้าผลิตแท็บเล็ตป.1 จำนวน 400,000 เครื่องตั้งแต่วันที่ 8 มิ.ย.55 และตนได้รับมอบอำนาจจากกระทรวงไอซีทีให้ไปเซ็นตรวจรับเรื่องของซอฟต์แวร์แท็บเล็ตป.1 ที่สโคป ประเทศจีน โดยจะบินไปจีนเพื่อเซ็นรับในวันที่ 12 มิ.ย.55 ดังนั้น สโคปจะเดินสายการผลิตแท็บเล็ตป.1 จำนวน 400,000 เครื่องตั้งแต่วันที่ 13 มิ.ย.55 เป็นต้นไป”
สำหรับสโคปมีกำลังการผลิตแท็บเล็ตได้วันละ 20,000 เครื่อง แต่สามารถจัดส่งเครื่องผ่านทางเครื่องบินมาประเทศไทยได้เฉลี่ยวันละ 15,000-18,000 เครื่อง โดยทุกๆ วันที่เครื่องถึงประเทศไทยคณะกรรมการตรวจรับและตรวจสเปกจะตรวจสอบและส่งเครื่องให้กระทรวงศึกษาธิการเพื่อนำไปแจกนักเรียนชั้นป.1 โดยการตรวจรับเครื่องจะใช้วิธีสุ่มทดสอบตามมาตรฐาน MIL-STD-105E คือ แท็บเล็ต 100,000 เครื่องสุ่มตรวจ 112 เครื่อง
เคลียร์สเปกดี – ยกเว้น “ซอฟต์แวร์”
น.อ.สุรพล กล่าวว่า สเปกของแท็บเล็ตป.1 ดีมากในราคา 2,400 บาท เป็นระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.0 หน่วยประมวลผล 1.2 กิกะเฮิร์ตซ หน่วยความจำหลัก 1 กิกะเฮิร์ตซ แบตเตอรี่ลิเธี่ยม 3600 แอมป์ หน้าจอ 7 นิ้ว มี 4 สี คือ แดง น้ำเงิน บรอนซ์เงิน และบรอนซ์ทอง แต่เรื่องของซอฟต์แวร์ยอมรับว่ายังไม่ดี เพราะเป็นซอฟต์แวร์ที่เขียนขึ้นเพื่อรองรับการทำงานในเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ(พีซี) และไม่ได้เขียนเพื่อให้ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ซึ่งคณะทำงานได้นำซอฟต์แวร์ดังกล่าวมาแปลงเพื่อให้ทำงานบนแท็บเล็ตได้ ทั้งเป็นซอฟต์แวร์ที่มีไฟล์ขนาดใหญ่แต่แปลงให้ไฟล์เล็กลง
“ยอมรับว่าเรื่องของซอฟต์แวร์ในแท็บเล็ตป.1 ยังไม่ดี แต่ราคาแท็บเล็ต 2,400 บาท จะเอาทั้งเครื่องสเปกสูงและซอฟต์แวร์ดีๆ คงทำไม่ได้ ซึ่งซอฟต์แวร์ในโครงการแท็บเล็ตป.1นี้ ก็เป็น เฟิร์ส โซลูชั่น หรือการทำซอฟต์แวร์เพื่อลงแท็บเล็ตให้เด็กครั้งแรก ในปีหน้ากระทรวงศึกษาก็มีโครงการให้คุณครูมาแข่งขันพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อสร้างซอฟต์แวร์เพื่อการเรียนการสอน ซึ่งการเริ่มต้นทำก็ต้องมีการถูกติบ้าง แต่ก็ดีกว่ากลัวที่จะถูกติแล้วไม่เริ่มที่จะทำ”
น.อ.สุรพล อธิบายว่า รูปแบบของคอนเท้นท์(เนื้อหา) ที่นำมาใช้เป็นตำราเรียนในแท็บเล็ตป.1 มีวิธีคิดการออกแบบเนื้อหาโดยอิงที่เด็กเป็นหลัก การใช้งานจะต้องเข้าใจง่าย ดังนั้นการใช้งานตำราเรียนจะเน้นเรื่องของปุ่มสีต่างๆ ตัวเลข รวมทั้งใช้ภาพเพื่อให้เด็กเข้าใจง่าย
ปลั๊กไฟเป็นแบบ 2 ขา ชัดเจน!
กรณีเรื่องปลั๊กไฟของแท็บเล็ตป.1 ที่มีข้อกังขาว่าผิดทีโออาร์ เพราะปลั๊กไฟแท็บเล็ตป.1 จำนวน 2,000 เครื่องที่ส่งมาเป็นปลั๊กแบบ 2 ขา แต่ตามทีโออาร์ระบุว่าต้องมีระบบสายดิน ซึ่งเป็นที่เข้าใจกันว่าต้องเป็นปลั๊กแบบ 3 ขา
น.อ.สุรพล กล่าวว่า ตามทีโออาร์ในส่วนของ เงื่อนไขความต้องการทั่วไปของระบบ ข้อ 4. ระบุว่า ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตต้องสามารถนำมาใช้กับไฟฟ้ากระแสสลับตามมาตรฐานที่ใช้ในประเทศไทยในช่วงตั้งแต่ 190-240 โวลต์ ความถี่ 50 เฮิร์ท 1 เฟส พร้อมระบบสายดิน (190-240 VAC 50 Hz single phase with ground system) และในส่วนของข้อกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของระบบ ข้อ 9.ระบบจ่ายพลังงาน ส่วนของข้อ 9.1 ระบุว่า พาวเวอร์ อะแดปเตอร์ สามารถใช้กับระบบไฟฟ้ามาตรฐานสำหรับประเทศไทย 220 โวลต์ 50 Hz.
“ดังนั้นคำว่าสามารถประยุกต์ใช้ได้ คือ ต้องสามารถใช้งานได้ ประเทศไทยเพิ่งมีปลั๊ก 3 ขาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้ ส่วนเรื่องระบบสายดินเป็นการกล่าวถึงทั่วไปตามมาตรฐานของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.) และเรื่องปลั๊ก 2 ขา และ 3 ขาต้องดูเรื่องเจตนาของทีโออาร์เป็นหลัก ในเมื่อที่บ้านมีปลั๊กสำหรับ 2 ขา แต่แท็บเล็ตเป็นปลั๊ก 3 ขา เมื่อนำไปใช้งานที่บ้านจะต้องทำอย่างไร ต้องซื้อปลั๊กไฟใหม่ หรือซื้อตัวอะแดปเตอร์ หรือหักปลั๊กที่3ทิ้ง ซึ่งปลั๊ก 2 ขา คือปลั๊กที่สามารถใช้กับระบบมาตรฐานสำหรับประเทศไทย ส่วนระบบสายดินเป็นการกล่าวถึงทั่วไปตามมาตรฐานของสมอ.เท่านั้น”
ประกันภัย 200,000 บาท/เครื่อง
ประเด็นเรื่องของประกันภัยที่เป็นกระแสข่าวว่า ยังไม่มีบริษัทประภัยในประเทศไทยรับทำประกัน น.อ.สุรพล ชี้แจงว่า ในทีโออาร์บอกเพียงว่าต้องมีการทำประกันภัย แต่ไม่ได้กำหนดว่าต้องเป็นประกันภัยในประเทศหรือต่างประเทศ โดยปีแรกเป็นการทำประกันแบบเชิงนโยบาย (Insurance policy) ที่สโคปต้องหาประกันภัยมาโดยไม่ระบุว่าเป็นบริษัทประกันภัยในประเทศไทยหรือต่างประเทศ แต่การขอบเขตการรับประกันต้องครอบคลุมการใช้งานเครื่องแท็บเล็ตทุกพื้นที่ในประเทศไทย โดยมีมูลค่าการประกันอยู่ที่ 200,000 บาท/เครื่อง ทั้งกับการประกันภัยที่เกิดขึ้นกับตัวบุคคล และสถานี ซึ่งในปีที่สอง สโคปต้องหาบริษัทรับประกันภัยในประเทศไทย
มาตรฐานการแผ่กระจายคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าใช้ CE
ประเด็นแท็บเล็ตป.1 ต้องได้รับรองมาตรฐานสากลการแผ่กระจายคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า CISPR 22 หรือ FCC (Federal Communications Commissions) หรือเทียบเท่า โดยมีหนังสือรับรองจากหน่วยงานที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเพื่อรับรองมาตรฐานนั้น ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขความต้องการทั่วไปของระบบใน ข้อ 1. นั้น
น.อ.สุรพล กล่าวว่า การตรวจรับแท็บเล็ตป.1 ของกระทรวงไอซีที พบว่า สโคปใช้มาตรฐานรับรองการแผ่กระจายคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสากลตามมาตรฐานของ CE หรือ Conformite Europeene ซึ่งเป็นมาตรฐานที่เทียบเท่ากับ FCC จึงถือว่าเป็นไปตามทีโออาร์
ความในใจ “เสธต่าย” แท็บเล็ต คือ ครูใจดี
การเดินหน้าผลักดันเรื่องของแท็บเล็ตป.1 อย่างต่อเนื่องและดุดันทำให้ภาพลักษณ์ของ “น.อ.สุรพล” ดูแข็งกร้าว ต่างจากความตั้งใจที่ดูอ่อนโยน
“โครงการแท็บเล็ตป.1 เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กป.1ในโรงเรียนต่างจังหวัดได้สัมผัสกับสิ่งที่เป็นดิจิทัล เป็นการเตรียมพร้อมลูกหลานสู่การเปิดเสรีประชาคมอาเซียนในปี 2015 เป็นการสร้างความคุ้นเคยในเรื่องของเทคโนโลยีให้กับเด็ก สำหรับแท็บเล็ตที่แจกมีราคาเพียง 2,400 บาท ถ้าให้เด็กในเมืองที่เคยใช้แท็บเล็ตเครื่องละเป็นหมื่นอาจไม่แฮปปี้ แต่สำหรับเด็กต่างจังหวัด นี่คืออุปกรณ์ในการเรียนรู้ อยากให้คิดถึงเด็กต่างจังหวัดที่อยู่ตามชายขอบแท็บเล็ตเครื่องนี้เปรียบเหมือนครูที่ใจดี ถามได้เรื่อยๆ ไม่มีบ่น ไม่มีว่า ไม่มีดุ เด็กแต่ละคนมีระยะเวลาในการเรียนรู้ต่างกัน เมื่อเด็กได้ฟังซ้ำๆ เขาก็จะเข้าใจในสิ่งที่เข้าอยากรู้”
ส่วนเว็บไซต์ http://www.otpc.in.th ยังไม่เปิดตัว รอก่อน!






