พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ รองประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และ กิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และประธานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม(กทค.) กล่าวว่า บอร์ด กทค. จะต้องได้ข้อสรุปราคาเริ่มต้นประมูล3จี วันนี้ (20 มิ.ย.) เนื่องจากค่อนข้างล่าช้ากว่าเดิมที่กำหนดไว้ว่าจะต้องได้ราคาประมูลภายในเดือน พ.ค.
ทั้งนี้ สาเหตุที่ยังสรุปราคาไม่ได้ เนื่องจากมีหลายรูปแบบให้พิจารณาเลือก รวมทั้งอัตราการคำนวณในลักษณะต่างๆ ทั้งเรื่องอายุเฉลี่ยของประชากรในประเทศ อัตราฐานเฉลี่ยจากราคาที่ได้ทั้งหมด รวมถึงราคาที่แต่ละผลศึกษาที่เสนอมา ส่งผลให้ระดับราคายังแตกต่างกันอยู่มาก คือตั้งแต่ 4,000 -13,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ราคาตั้งต้นจะเป็นเปอร์เซ็นต์เหมือนเทียบกับมูลค่าคลื่น ในการประมูลครั้งก่อนที่บริษัทวิจัย เนร่า ได้กำหนดให้ราคาตั้งต้นเป็น 80% ของมูลค่าคลื่น แต่ กทช. ในยุคนั้น เลือกใช้ 100% จึงกำหนดที่ 12,800 ล้านบาท ต่อ 15 MHz
แต่ในการประมูลครั้งนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปจากหลายโมเดลที่คณะวิจัยจากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ฯ เสนอโมเดลการคำนวณมา แต่ได้มีการตัดบางโมเดล อาทิ วิธี Censored Regression และ Neural Network ที่ต้องใช้ข้อมูลตัวอย่างมากเป็นแสนตัวอย่าง ขณะนี้จึงเหลือว่าจะเลือกใช้วิธี Standard OLS และ Random Effect ว่าโมเดลใดเหมาะสม ได้แก่ โมเดลเดิมที่บริษัทวิจัย เนร่าฯ เคยเสนอ หรือ จะใช้ตัวเลขตามโมเดลเดิมของเนร่าฯ แล้วปรับตัวเลขให้เป็นปัจจุบัน หรือจะบวกเพิ่มปัจจัยใหม่ๆ ที่จะมีผลกระทบในอนาคต อาทิ ตัวเลขผู้จบการศึกษาในแต่ละระดับเข้าไปด้วย
สำหรับคำนวณราคาคลื่นจะคำนวณเป็นเหรียญสหรัฐต่อคลื่น 1 MHz ต่อประชากร แล้วค่อยนำมาคูณจำนวนประชากรคูณจำนวนแถบความถี่ที่มี จึงจะได้มูลค่าคลื่นความถี่ทั้งหมด แล้วนำเปอร์เซ็นต์ส่วนลดที่จะกำหนดไว้มาคูณเพื่อให้ได้ราคาตั้งต้นประมูล ซึ่ง ณ เวลานี้ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะใช้อัตราส่วนลดที่เท่าใด แต่ทางคณะวิจัยได้เสนอตัวเลขที่ 67% เนื่องจากเป็นค่าเฉลี่ยที่ทั่วโลกใช้ในการประมูลที่ผ่านมา และยังได้ประเมินจากปัจจัยทางสังคม จำนวนประชากร รวมถึงจีดีพีของไทย
ตัดสินสัญญา 3จี กสท-ทรู
นอกจากนี้ บอร์ด กทค.ยังจะมีมติเรื่องสัญญา 3 จี ระหว่าง กลุ่มทรู คอรปอเรชั่น และ กสท โทรคมนาคม โดยจะพิจารณาตามแนวทางที่คณะอนุกรรมการตรวจสอบสัญญาเสนอมา และจะพิจารณาว่าต้องมีความเห็นเพิ่มเติมหรือไม่ อย่างไร ขณะที่ผลสรุปของคณะอนุกรรมการตรวจสอบสัญญา 3 จีระบุว่าสัญญาดังกล่าวละเมิดมาตรา 46 พ.ร.บ.กสทช. ที่ห้ามโอนสิทธิ์การใช้คลื่นความถี่ไปให้บุคคลอื่น และเสนอแนวทางแก้ไข 6 ข้อ คือ 1.กสทฯ ต้องสามารถนำคลื่นความถี่ย่าน 800 เมกะเฮิร์ตซ ไปใช้กับเครื่องและอุปกรณ์ของกสทฯ หรือของบริษัทอื่นได้ 2. กสทฯ ต้องควบคุมดูแลและบริหารจัดการ หรือ เน็ตเวิร์ก โอปอเรเตอร์ เซ็นเตอร์ อย่างสมบูรณ์
3. ข้อมูลการใช้งาน ต้องอยู่ในความครอบครองของ กสทฯ 4. อำนาจของคณะกรรมการควบคุมการปฏิบัติงานตามสัญญาต้องมีความชัดเจน โดยแสดงให้เห็นถึงอำนาจในการบริหารจัดการคลื่นความถี่ของ กสทฯ 5. กระบวนการสร้างและจัดหาความจุของ บริษัท บีเอฟเคที (ประเทศไทย) จะต้องแสดงให้เห็นว่า กสทฯ เป็นผู้มีอำนาจแต่เพียงผู้เดียวในการตัดสินใจในเรื่องแผนคลื่นความถี่ แผนการขยายโครงข่าย และการปฏิบัติงานอย่างสมบูรณ์
