วานนี้ (20 มิ.ย.) พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ รองประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และ กิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. และประธานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม(กทค.) กล่าวว่า ที่ประชุมกทค.ได้ข้อสรุปผลการพิจารณาการตรวจสอบสัญญา 3จีระหว่างบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) กับกลุ่มบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)แล้ว โดยได้มีความเห็นสรุปสอดคล้องกับคณะอนุกรรมการตรวจสอบสัญญา 3จี ของกทค. ที่ระบุว่าสัญญามีความไม่ชอบตามมาตรา 46 พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 หรือ (พ.ร.บ.กสทช.) ที่ห้ามโอนสิทธิ์การใช้คลื่นความถี่ไปให้บุคคลอื่น โดยแบ่งเป็น 3 ประเด็นหลัก ประกอบด้วย
ประเด็นที่ 1.การทำสัญญาระหว่าง กสท กับกลุ่มบริษัท ทรู ที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รูปแบบใหม่บนคลื่นความถี่ 800 เมกะเฮิร์ตซ เป็นสัญญาปกครองที่การกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมต้องคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญ จึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 47 และมาตรา 27 (4) และ (6) ประกอบมาตรา 40 แห่งพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 มีคำสั่งให้ กสท ในฐานะผู้ได้รับจัดสรรคลื่นความถี่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามมาตรา 46 แห่งพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 โดยดำเนินการเพื่อให้มีการแก้ไขข้อสัญญาที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รูปแบบใหม่บนคลื่นความถี่ 800 เมกะเฮิร์ตซ ให้สอดคล้องกับมาตรา 46 แห่งพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 ทั้งหมด 6 ข้อ ดังนี้
1.กสท ต้องสามารถนำคลื่นความถี่ย่าน 800 เมกะเฮิร์ตซ ไปใช้กับเครื่องและอุปกรณ์ของกสท หรือของบริษัทอื่นได้ 2. กสท ต้องควบคุมดูแลและบริหารจัดการ หรือ เน็ตเวิร์ก โอปอเรเตอร์ เซ็นเตอร์ อย่างสมบูรณ์ 3. ข้อมูลการใช้งาน ต้องอยู่ในความครอบครองของ กสท 4. อำนาจของคณะกรรมการควบคุมการปฏิบัติงานตามสัญญาต้องมีความชัดเจน โดยแสดงให้เห็นถึงอำนาจในการบริหารจัดการคลื่นความถี่ของ กสท 5. กระบวนการสร้างและจัดหาความจุของ บริษัท บีเอฟเคที (ประเทศไทย) จะต้องแสดงให้เห็นว่า กสท เป็นผู้มีอำนาจแต่เพียงผู้เดียวในการตัดสินใจในเรื่องแผนคลื่นความถี่ แผนการขยายโครงข่าย และการปฏิบัติงานอย่างสมบูรณ์ และ6. กสท ต้องเป็นผู้มีอำนาจแต่เพียงผู้เดียวในการเจรจาการให้บริการข้ามโครงข่ายภายในประเทศ และการเชื่อมต่อโครงข่ายโทรคมนาคมกับผู้ประกอบการรายอื่น
ทั้งนี้ กทค. สั่งให้ กสท ในฐานะผู้ได้รับจัดสรรคลื่นความถี่ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามมาตรา 46 แห่งพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 โดยดำเนินการแก้ไขสัญญาให้สอดคล้องกับมาตรา 46 และรายงานผลการดำเนินงานต่อ กทค. ภายใน 30 วัน นับจากวันที่ กสท ได้รับหนังสือคำสั่ง
ประเด็นที่ 2. ส่วนกรณีความชอบด้วยกฎหมายเกี่ยวกับโทรคมนาคมอื่นๆ โดยเฉพาะประเด็นด้านการแข่งขัน กทช.ปฏิบัติหน้าที่แทน กสทช. เคยมีมติแล้วเมื่อ 28 ก.ย.55 โดยมีคำสั่งให้คู่สัญญาดำเนินการแก้ไขปรับปรุงข้อกำหนดในสัญญาให้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งปัจจุบันคู่สัญญาได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อขอให้เพิกถอนมติหรือคำสั่งที่พิพาทดังกล่าว และอยู่ในระหว่างกระบวนการพิจารณาของศาลปกครอง จึงไม่สมควรหรือมีมติหรือออกคำสั่งซ้ำ
ประเด็นที่ 3. กรณีการดำเนินการของบริษัท บีเอฟเคที (ประเทศไทย) จำกัด ที่คณะอนุกรรมการฯมีความเห็นว่าอาจเข้าข่ายเป็นการประกอบกิจการโทรคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามมาตรา 67 แห่งพ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 คณะอนุกรรมการฯ เสนอให้กสทช.ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลใช้อำนาจตามมาตรา 47 แห่งพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ.2553 มีคำสั่งเร่งรัดให้กสท ในฐานะผู้ได้รับใบอนุญาตดำเนินการแก้ไขข้อสัญญาให้สอดคล้องกับมาตรา 46 แห่งพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 โดยต้องทำให้กสท ควบคุมดูแลและบริหารจัดการคลื่นได้อย่างสมบูรณ์ ถ้าไม่ดำเนินการจะถือว่า บีเอฟเคที เข้าข่ายเป็นการประกอบกิจการโทรคมนาคมบางส่วนของ กสท ที่ไม่ได้รับใบอนุญาต มีความผิดตามมาตรา 67 แห่งพ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544
สำหรับประเด็นที่ 3 กทค.มีมติ ให้สำนักงาน กสทช. ตรวจสอบข้อเท็จจริงและกฎหมายเกี่ยวกับการดำเนินงานของ บีเอฟเคที ตั้งแต่วันที่ทำสัญญาการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รูปแบบใหม่บนคลื่นความถี่ 800 เมกะเฮิร์ตซ กับ กสท ว่าเข้าข่ายเป็นการประกอบกิจการโทรคมนาคมบางส่วนของ กสท ที่ไม่ได้รับใบอนุญาตหรือไม่ โดยให้เวลาดำเนินงาน 30 วันนับตั้งแต่วันที่มีมติ (20 มิ.ย.)
อย่างไรก็ตาม การมีมติของกทค.วันนี้ เป็นการใช้คำสั่งทางปกครอง ดังนั้นสัญญาจึงไม่มีการทำให้เป็นโมฆะ เพราะเป็นสัญญาที่มีผลกระทบต่อประโยชน์ของสาธารณะ ดังนั้นระหว่างที่มีการแก้ไขสัญญาดังกล่าวตามมติของ กทค. นั้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อการให้บริการ 3จีของ กสท และทรู หรือลูกค้าไม่ได้รับผลกระทบ
