นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยว่า ราคาทองคำในครึ่งปีหลังนี้ยังมีแนวโน้มแกว่งตัวผันผวนต่อเนื่อง ซึ่งประเมินกรอบการเคลื่อนไหวที่ 1,045 -1,520 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือบาทละ 15,300-22,400 บาท เนื่องจากยังมีปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของทองคำ โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (คิวอี) ของสหรัฐ รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ เพราะหากมีข่าวว่าสหรัฐยังคงมาตรการคิวอีต่อ หรือตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาไม่ดี จะส่งผลบวกต่อราคาทองคำ แต่หากออกมาดี จะเป็นแรงฉุดราคาทองคำให้ปรับลดลงอีกครั้ง นอกจากนี้ ยังต้องติดตามปัญหาหนี้สินของกลุ่มยุโรป และการซื้อขายทองกองทุนขนาดใหญ่ หลังสิ้นไตรมาส 2 ที่ผ่านมา กองทุนเอสพีดีอาร์ ขายทองคำแล้วถึง 381.32 ตัน จึงอาจส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุนและราคาทองคำได้
“กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ แนะนำนักลงทุนเก็งกำไรระยะสั้นตามกรอบแนวรับแนวต้าน โดยประเมินแนวรับแรกที่ 1,150-1,450 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือบาทละ 16,900-21,300 บาท แนวรับถัดไปที่ 930-1,045 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือบาทละ 13,700-15,300 บาท ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,520-1,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือบาทละ 22,400-23,500 บาท พร้อมทั้งตัดขาดทุนทันทีหากราคาเคลื่อนไหวผิดจากการคาดการณ์”
สำหรับครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ราคาทองคำปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยสิ้นไตรมาส 2 ราคาทองคำในตลาดโลกได้ปรับตัวลดลง 26.25% (เฉพาะไตรมาส 2 ลดลงประมาณ 22.68%) และทำจุดต่ำสุดของปีที่บริเวณ 1,180 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เมื่อช่วงปลายเดือนมิ.ย. ขณะที่ราคาทองคำในประเทศก็ลดลง 26.39% ซึ่งใกล้เคียงกับตลาดโลก เป็นผลจากค่าเงินบาทได้กลับมาอ่อนตัวลงอีกครั้งในช่วงไตรมาส 2 นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับการชะลอมาตรการคิวอีของสหรัฐ หลังที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เอฟโอเอ็มซี) มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในตลาดแรงงาน ส่งผลให้ตลาดคาดว่าอาจมีการชะลอมาตรการคิวอี จึงทำให้ราคาทองคำปรับลดลง.
ขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์
phetchannews 