ข่าว

งานวิจัยชี้ เครียด กลุ้มใจ ปี 2564 พึ่ง “สายมู”

เปิดงานวิจัย ซีเอ็มเอ็มยู ชี้ ทุกเจนเนอเนชั่นกังวลเรื่องโรคอุบัติใหม่และโรคระบาด เช่น โควิด-19 หันพึ่งสายมูช่วยคลายเครียด

งานวิจัยของวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล หรือ ซีเอ็มเอ็มยู (CMMU) ชื่อว่า “Marketing in the Uncertain World การตลาดของคนอยู่เป็น” เผยแพร่เมื่อวันที่ 15 ม.ค.64 ระบุว่า ขณะนี้คนไทยเกิดความกังวลและรู้สึกถึงความไม่แน่นอน โดย 76.8% มีความกังวลเกี่ยวกับโรคอุบัติใหม่และโรคระบาด เช่น โควิด-19 , 74.6% มีความกังวลเกี่ยวกับอันตรายจากปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น ฝุ่น PM2.5 ไอเสีย ขยะล้นโลก ฯลฯ , 65% มีความกังวลด้านสังคมในด้านความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและความเห็นต่างกันในสังคม และ 64% มีความกังวลทางด้านเศรษฐกิจ ทั้งเรื่องค่าครองชีพสูงและความไม่มั่นคงในหน้าที่การงาน ฯลฯ

ความกังวลนี้ทำให้เกิดปรากฏการณ์ 3 สิ่ง คือ 1.คนไทยหันหน้าพึ่งสายมู หรือมีความเชื่อโชคลาง 2.เกิดความเชื่อในอินฟลูเอนเซอร์ และ 3.นิยมพูดคุยคลายเหงาในคอมมูนิตี้ออนไลน์

ที่สำคัญทุกกลุ่มวัยที่ทำการวิจัย คือ กลุ่มเจนเอ็กซ์ (Gen X) กลุ่มเบบี้ บูมเมอร์ (Baby Boomer) กลุ่มเจนวาย (Gen Y) และกลุ่มคนเจนซี (Gen Z) มีความกังวลเกี่ยวกับด้านโรคระบาดมากที่สุด และทุกกลุ่มต่างหาวิธีจัดการกับความรู้สึก หรือวิธีคลายเครียดในช่วงวิกฤต ผ่าน 5 อันดับ ดังนี้ 1.พยากรณ์ โหราศาสตร์ ลายมือ ไพ่ยิปซี 2.พระเครื่องวัตถุมงคล 3.สีมงคล 4.ตัวเลขมงคล  และ5.เรื่องเหนือธรรมชาติ ช่องทางที่ใช้กำจัดความเครียด คือ โซเชียลมีเดียและเว็บไซต์ คิดเป็น 73.8% , บุคคลรอบข้าง เช่น พ่อแม่ พี่น้อง คิดเป็น 59.6% ,ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์นั้น ๆ คิดเป็น 29.7% ,หนังสือพิมพ์และนิตยสาร คิดเป็น 20.1% และสื่อโทรทัศน์และวิทยุ คิดเป็น 19.6%

คำว่า “สายมู” มาจากคำเต็มคือ “มูเตลู” มีที่มาจากภาพยนตร์ต่างประเทศมีชื่อไทยว่า “มูเตลู” เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการใช้ไสยศาสตร์มนต์ดำ ซึ่งคนไทยหรือชาวเน็ตไทยนำมาใช้เรียกขานคนที่มีศรัทธาหรือเชื่อเรื่องโชครางของขลัง หรือนับถือบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ

ส่วน อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) เหตุผลที่ติดตามเพราะเนื้อหา 81.9% , รูปแบบการนำเสนอ 69.2% และเพราะความน่าเชื่อถือ 45.3% ในขณะที่แฟลตฟอร์มที่คนไทยใช้ติดตามอินฟลูเอนเซอร์มากที่สุดคือ 1.ยูทูป (Youtube) 2.เฟซบุ๊ก (Facebook) และ 3.อินสตาแกรม (Instagram) โดยที่กลุ่มคนเจนเอ็กซ์และกลุ่มคนเบบี้ บูมเมอร์ นิยมใช้แพลตฟอร์มเฟซบุ๊กและยูทูป กลุ่มคนเจนวายนิยมใช้แพลตฟอร์มยูทูปและเฟซบุ๊ก ส่วนกลุ่มคนเจนซีนิยมใช้แพลตฟอร์มยูทูปและอินสตาแกรม

ขณะเดียวกันจากความกังวลและสถานการณ์ “Social Distancing” หรือการเว้นระยะห่างทางสังคม ทำให้คนไทยเข้าสู่การสร้างความสัมพันธ์ในรูปแบบออนไลน์คอมมูนิตี้ (Online Community) มากขึ้นผ่านหลากหลายกลุ่ม เช่น 1.กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม 2.กลุ่มท่องเที่ยว 3.กลุ่มครอบครัว 4.กลุ่มสุขภาพและความงาม 5.ความบันเทิง ดนตรี ภาพยนตร์ 6. ธรรมชาติ 7. ชอปปิ้ง 8.การศึกษา 9.การเงินและการลงทุน และ 10.สัตว์เลี้ยง โดยกลุ่มคนเบบี้ บูมเมอร์ ส่วนใหญ่ให้ความสนใจกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงกลุ่มสุขภาพและความงาม ผ่านการรับรู้ข้อมูลบนแพลตฟอร์มเฟซบุ๊กและไลน์ กลุ่มคนเจนเอ็กซ์และกลุ่มคนเจนวายมีความสนใจกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มรวมถึงการท่องเที่ยวผ่านบนแพลตฟอร์มไลน์ เฟซบุ๊ก และอินสตาแกรม ส่วนกลุ่มคนเจนซีสนใจกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มรวมถึงการศึกษาผ่านบนแพลตฟอร์มเฟซบุ๊ก และอินสตาแกรม โดยการมีส่วนร่วมในคอมมูนิตี้ ได้แก่ ติดตามและกดไลค์ คิดเป็น 72.9% แชร์ข้อมูล คิดเป็น 44.6% แสดงความคิดเห็น คิดเป็น 37.2%  และซื้อ-ขายสินค้า คิดเป็น 24.4%

ใส่ความเห็น