สำหรับอุโบสถของวัดร่องขุนมีสีขาวบริสุทธิ์สะอาด นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติซึ่งพากันเรียกวัดร่องขุ่นว่าวัดขาว (Thailand White Temple) ประดับประดาด้วยช่อฟ้าใบระกา หน้าบันประดับด้วยพญานาคและติดกระจกระยิบระยับ โดยต้องการสื่อสัญลักษณ์ต่าง ๆ ในพุทธศาสนา “สีขาว” หมายถึง พระบริสุทธิคุณ “กระจก” หมายถึง พระปัญญาธิคุณของพระพุทธเจ้าที่ส่องแสงโชติช่วงชัชวาล ตัวพระอุโบสถสร้างอยู่บนเนินเตี้ย ๆ ที่มีทะเลสาบสะท้อนเงาอาคารได้อย่างชัดเจนและทางเดินเข้าอุโบสถเป็นสะพานทอดยาว หมายถึง การเดินข้ามวัฏสงสารมุ่งสู่พุทธภูมิ บนของหลังคาได้นำหลักธรรมอันสำคัญยิ่งคือศีลสมาธิปัญญามาแสดงออกในรูปของสัตว์ในช่อฟ้าชั้นต่าง ๆ ภายในอุโบสถยังมีภาพจิตกรรมฝาผนังรวมทั้งอาคารแสดงภาพวาดที่ตั้งอยู่ภายในบริเวณวัด
ประวัติความเป็นมาของ “วัดร่องขุน”
เมื่อประมาณ พ.ศ.2430 มีชาวบ้านเข้ามาจับจองที่ดินทำไร่ทำนาบริเวณบ้านร่องขุ่น ต่อมา ขุนอุดมกิจเกษมราษฎร์ (ต้นตระกูล เกษมราษฎร์) นำครอบครัวญาติมิตรเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านจนเพิ่มจำนวนมากขึ้นจึงสร้างสำนักสงฆ์ขึ้นภายในหมู่บ้าน เพื่อจะได้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชุมชน “วัดร่องขุ่น” จึงถือกำเนิดครั้งแรก ต่อมาเกิดน้ำเซาะตลิ่งพังจนไม่สามารถรักษาศาสนสถานไว้ได้ จึงย้ายวัดร่องขุ่นจากริมน้ำไปอยู่บริเวณหัวนา กาลเวลาผ่าน พระไสว ชาคโร เจ้าอาวาสในขณะนั้นได้สร้างอุโบสถในปี พ.ศ.2507 ต่อมา อาราธนาพระพุทธรูปหินโบราณจากหมู่บ้านหนองสระ อำเภอแม่ใจ มาเป็นพระประธานในอุโบสถ ปี พ.ศ.2520 ได้รับวิสุงคสีมา ปี พ.ศ.2529 ได้บูรณะซ่อมแซมกำแพงวัด ปี พ.ศ.2533 สร้างหอฉัน และซุ้มประตูวัดด้านข้าง
วัดร่องขุ่นเจริญรุ่งเรืองด้วยศรัทธาชาวไทยและชาวจีนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน และบ้างก็แยกย้ายกันออกไปอยู่ต่างถิ่น เมื่อร่ำรวยแล้วก็หวนกลับมาช่วยกันทำนุบำรุงรักษาวัดตามอัตภาพ และเห็นว่าอุโบสถที่สร้างมา 38 ปีซึ่งเสื่อมโทรมถึงคราวสร้างใหม่ วันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ.2538 จึงได้ทำพิธีรื้อถอนอุโบสถ และประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ในการก่อสร้าง เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ.2538 วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2539 ได้เริ่มลงมือก่อสร้างอุโบสถหลังปัจจุบัน แต่เสร็จเพียงแค่โครงสร้างตัวอุโบสถองค์กลางเท่านั้น เกิดภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่แตก ในปี พ.ศ.2540 อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ จิตรกรผู้มีชื่อเสียงระดับชาติ ได้เข้ามาสานต่อเพื่อสร้างอุโบสถถวายเป็นพุทธบูชา










