วัด เที่ยววัดกัน

ความเป็นมาของ “วันพระ”

ในสมัยพุทธกาล เหล่านักบวชนอกศาสนาได้ประชุมแสดงคำสอนตามความเชื่อของตน ทุกวัน 8 ค่ำ 14 ค่ำ และ 15 ค่ำ เป็นปกติ ครั้งนั้น พระเจ้าพิมพิสาร พระราชาแห่งแคว้นมคธ เกิดความคิดว่า น่าที่เหล่าสงฆ์ในพระพุทธศาสนาจะได้กระทำเช่นนั้นบ้าง เพื่อความเลื่อมใส ศรัทธาของเหล่าชนเฉกเช่นที่นักบวชนอกศาสนานั้นได้รับ จึงกราบทูลขอพุทธานุญาตจาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงอนุญาตตามนั้น

การประชุมกันของเหล่าสงฆ์ตามพุทธานุญาตได้มีวิวัฒนาการขึ้นตามลำดับ ตั้งแต่การมาประชุม แล้วนั่งนิ่ง เริ่มแสดงธรรม ต่อมาทรงอนุญาตให้สวดปาฏิโมกข์ ซึ่งเป็นการทบทวนข้อปฏิบัติที่เป็นวินัย ของสงฆ์ในพระพุทธศาสนาพร้อมแสดงอาบัติ คือ เปิดเผยข้อผิดพลาดในวินัยต่อผู้อื่น ให้เป็นกิจกรรมในวันอุโบสถ คือวัน 8 ค่ำ 14 ค่ำ และ 15 ค่ำ

วันขึ้น (แรม) 8, 14 และ 15 ค่ำ กำหนดโดยถือการเปลี่ยนแปลงของพระจันทร์ จากเดือนเต็มดวงจนถึงเดือนมืด และกลับเป็นเดือนเต็มดวงอีกครั้ง โดยคืนพระจันทร์เต็มดวงเรียก ขึ้น 15 ค่ำ พระจันทร์ค่อย ๆ ดับนับ แรม 1 ค่ำ 2ค่ำ ตามลำดับ ถึง 15 ค่ำ เป็นวันพระจันทร์ดับพอดี จากนั้นเริ่มนับขึ้นจาก วันขึ้น 1 ค่ำ 2 ค่ำ จนถึงขึ้น 15 ค่ำ เป็นวันพระจันทร์เต็มดวงอีกครั้งหนึ่ง เป็นอันครบรอบ 1 เดือน

ในอดีต วันพระมิใช่เป็นเพียงวันของพระสงฆ์เท่านั้น หากเป็นโอกาสที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลายจะ ได้สั่งสมบุญกุศลของตนเองให้เพิ่มยิ่ง ๆ ขึ้นไป ทั้งทางราชการก็สนับสนุน โดยให้วันโกน และวันพระ เป็น วันหยุดประจำสัปดาห์ ในครั้งนั้นพุทธศาสนิกชนจึงมีโอกาสได้ไปวัด ทำทาน รักษาศีล และฟังพระธรรมเทศนา ที่วัดกันเป็นประจำ เพราะมีวันหยุดที่พ้องตรงกันกับวันอุโบสถกรรมซึ่งเป็นวันพิเศษของพระสงฆ์ด้วย นับเป็นความสะดวกด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่ในปัจจุบัน วันหยุดของทางราชการเปลี่ยนแปลงไปเป็นวันเสาร์และวันอาทิตย์ หากวันสำคัญของพระสงฆ์ยังคงเป็นวันพระดังเดิม ดังนั้นความสะดวกของพุทธศาสนิกชนที่จะประพฤติปฏิบัติชอบในวันดังกล่าวจึงเป็นไปตามสะดวกและความพึงใจในการสั่งสมคุณงามความดี

ที่มา : http://www.watpamahachai.net/watpa7.htm

ขอบคุณภาพ : https://www.facebook.com/ThaiPBS/photos/a.348532055084/10166494095940085/?type=3

ใส่ความเห็น