วานนี้ (23 เม.ย.) นายเมธี ครองแก้ว กรรมการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ในฐานะประธานอนุกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีสัญญา 3 จี กล่าวว่า คณะอนุกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีสัญญา 3 จี ระหว่าง กสท-ทรู มีการประชุมกันอีกครั้งหลังจากที่การประชุมเมื่อวันที่ 5 เม.ย.55 ยังไม่ได้ข้อสรุปและเลื่อนประชุมมาเป็นวันนี้หลังให้คณะอนุกรรมการทุกคนกลับไปศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดอีกครั้ง โดยผลการประชุมวันนี้ เห็นว่าจากข้อมูลที่คณะอนุกรรมการไต่สวนมาพบว่ามีความผิดปกติจริง จึงจะดำเนินการพิจารณาข้อมูลต่อไป เนื่องจากข้ออธิบายที่มียังไม่มีน้ำหนักหรือหนาแน่นเพียงพอจะชี้ความผิดพลาดว่าอยู่ในระดับไหน ต้องให้เวลาคณะอนุกรรมการพิจาณาอีกรอบในการประชุมวันที่ 8 พ.ค.นี้ ซึ่งไม่สามารถบอกได้ว่าจะได้ข้อสรุปหรือไม่ แต่คาดว่าจะสามารถส่งเรื่องนี้ให้บอร์ด ป.ป.ช.พิจารณาได้ภายในเดือนมิ.ย.นี้
นายเมธี กล่าวว่า ข้อมูลที่ไต่สวนมาถือว่าครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว แต่ยังต้องให้เวลาคณะอนุกรรมการพิจารณารายละเอียดให้รอบคอบ ซึ่งในการประชุมครั้งหน้าจะมาดูเรื่องความถูกต้องและความร้ายแรงของความผิด ว่าผิดในกฎหมายระดับไหน โดยเฉพาะในประเด็นการใช้อำนาจตามมาตรา 46 พ.ร.บ.กสทช. , พ.ร.บ.ร่วมการงานระหว่างรัฐกับเอกชนพ.ศ.2535 ,การไม่มีการประมูล และการกระทำที่อาจจะผิดกฎหมายผูกขาด
สำหรับขั้นตอนหลังได้ข้อสรุปทั้งหมดแล้ว ทาง คณะอนุกรรมการจะส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ที่จะใช้เวลาในการพิจารณา 30 วัน ดังนั้น คาดว่าภายในเดือน ก.ค. จะได้ข้อสรุปสุดท้ายของเรื่องนี้ว่าจะเป็นอย่างไร
นายเมธี กล่าวว่า ส่วนเอกสารผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงการทำสัญญาธุรกิจโทรศัพท์มือถือรูปแบบใหม่ หรือ 3จี ระหว่าง กสท กับ กลุ่มบริษัท ทรู โดยมีพ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งกระทรวงไอซีทีแถลงว่าพบพิรุธในสัญญา 5ประเด็น เป็นเพียงเอกสารที่คณะอนุกรรมการป.ป.ช.ในในการประกอบการพิจารณา ซึ่งไม่จำเป็นที่คณะอนุกรรมการป.ป.ช.ต้องเห็นด้วย เนื่องจากคณะอนุกรรมการป.ป.ช.ก็มีข้อมูลของตนเอง และการตรวจสอบของคณะอนุกรรมการป.ป.ช.ไม่มีผลทางก.ม. ต้องส่งเรื่องให้บอร์ด ป.ป.ช. ใหญ่พิจารณา
สำหรับข้อมูลเดิม เมื่อวันที่ 26 มี.ค.2555 น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) ได้เปิดผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงการทำสัญญาธุรกิจโทรศัพท์มือถือรูปแบบใหม่ หรือ 3จี ระหว่างบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) กับ กลุ่มบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งใช้เวลาตรวจสอบ 120 วัน โดยมีพ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง
ผลการตรวจสอบ ระบุว่า พบพิรุธในสัญญา 5 ประเด็น จากการตรวจสอบซึ่งอยู่ในเอกสารการพิจารณา 37 ฉบับ และได้พิจารณาอยู่บนกฎหมาย กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย รัฐธรรมนูญ 2550 พ.ร.บ.ว่าด้วยให้เอกชนเข้าร่วมการงานปีพ.ศ.2535 พ.ร.บ.กสทช. ม.46 และ 84 พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม 2544 พ.ร.บ.แข่งขันทางการ ค้า พ.ศ.2542 ที่กีดกันผู้ให้บริการรายอื่นในการเข้าสู่ตลาด ระเบียบสำนักนายกเรื่องงบลงทุนรัฐวิสาหกิจ 2550 ประกาศกสทช.เรื่องมาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาด หรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2549 และประกาศ กทช. ว่าด้วยการใช้และเชื่อมต่อโครงข่ายโทรคมนาคม พ.ศ.2549 และประกาศ กสทช. เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการควบรวมและการถือหุ้นไขว้ในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 และได้สอบสวนปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
พิรุธ 5 ประเด็น ประกอบด้วย
ประเด็นที่ 1 เมื่อพิจารณาการทำสัญญาทำ 3จีระหว่างกสท-ทรู น่าจะมีการกระทำที่เป็นการวางแผนไว้แล้ว และมีฝ่ายการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องในการกำหนดนโยบายเพื่อเอื้อประโยชน์ให้เอกชน
ประเด็นที่2 การตรวจสอบพบมีเจตนาหลบเลี่ยงกรณีการยกเลิกสัญญาการให้บริการซีดีเอ็มเอใน 25 จังหวัดเดิม เพื่อเข้าสู่การให้บริการ 3 จีแบบเอชเอสพีเอไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี(ครม.) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช.ซึ่งเป็นสัญญาที่ไม่ถูกต้องตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมการงานกับรัฐพ.ศ.2535
ประเด็นที่ 3 การเดินเอกสารต่างๆ ที่จะต้องขออนุมัติจากกระทรวงไอซีทีในช่วงเวลานั้นมีการออกหนังสือล่วงหน้าและการยื่นเอกสารไม่ตรงตามหน่วยงานที่รับผิดชอบ
ประเด็นที่ 4 แม้ครม.จะเห็นชอบให้ดำเนินการโครงการใหม่ แต่ให้กสท. ขอความเห็นจาก สศช.และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา แต่ปรากฏว่าการดำเนินงานของกสท ไม่ผ่านความเห็นชอบจากทั้ง 2 หน่วยงาน
ประเด็นที่ 5 กสท ได้ขอให้ครม.เห็นชอบการเช่าโครงข่าย ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบเห็นว่าการนำเรื่องเข้าครม.เพื่อหลีกเลี่ยงการทำสัญญาซึ่งเข้าข่ายผิดพ.ร.บ.ร่วมการงานระหว่างรัฐกับเอกชนพ.ศ.2535 ซึ่งผลการตรวจสอบของคณะกรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่าสัญญาดังกล่าว ขัดกับพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ของกสทช. และกฎข้อบังคับของกสทช. และไม่เป็นไปตามแนวทางปฏิบัติของรัฐวิสาหกิจ
ทั้งนี้หลังรมว.ไอซีทีแถลงผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงในสัญญาดังกล่าวแล้วได้เสนอแนะการดำเนินงาน 3 ข้อ คือ ให้กระทรวงไอซีทีแจ้งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เพื่อให้ดำเนินการต่อไป เมื่อพบเจ้าหน้าที่กระทรวงดำเนินการโดยมิชอบก็ให้ดำเนินการตรวจสอบต่อไป และส่งเรื่องให้คณะกรรมการบริหาร(บอร์ด) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) นำไปพิจารณาภายใน 15 วันแล้วส่งกลับมาที่กระทรวงไอซีที เบื้องต้นเมื่อพิจารณาแล้วคาดว่าจะได้คำตอบกลับมาปลายเดือนเม.ย.นี้ เนื่องจากมีวันหยุดราชการเยอะ
สำหรับการทำสัญญาเพื่อดำเนินธุรกิจรูปแบบใหม่ระหว่าง กสท-ทรู เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2554 เพื่อให้บริการ 3 จีบนคลื่นความถี่เดิมด้วยเทคโนโลยีเอชเอสพีเอ ซึ่งเนื้อความในสัญญามี 2 ส่วน คือ สัญญาอนุมัติให้ ทรู ดูแลลูกค้าผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือระบบซีดีเอ็มเอ 700,000 เลขหมายของบริษัท ฮัทชิสัน ซีเอที ไวร์เลส มัลติมีเดีย หรือฮัทช์ หลังจากที่ทรู เข้าซื้อกิจการ ฮัทช์ ได้สำเร็จ เป็นระยะเวลา 2 ปี และสัญญาเช่าอุปกรณ์เอชเอสพีเอ เพื่อนำมาปรับเปลี่ยนโครงข่ายโทรศัพท์มือถือระบบซีดีเอ็มเอในส่วนภูมิภาค 51 จังหวัด ให้เป็นโครงข่ายที่ให้บริการ 3 จี บนคลื่นความถี่เดิมด้วยเทคโนโลยีเอชเอสพีเอ โดยทรูสามารถเช่าใช้อุปกรณ์และสถานีฐาน เพื่อให้บริการโทรศัพท์มือถือ 3 จีบนระบบเอชเอสพีเอแบบขายส่งและขายต่อบริการ (โฮลเซล-รีเทล) เป็นเวลา 14.6 ปี


เชื่อว่าวันที่ 8 พ.ค.นี้ก็ยังไม่สรุปคะ
ติดตามกันต่อไป ลูกค้าทรูฯทั้งหลาย